สมมุติว่าคุณอายุ 22 ปี เพิ่งเรียนจบ เริ่มทำงานใหม่ๆ ให้ทำตามนี้เลยครับ

1. เก็บเงินก้อนแรก 10,000 บาท ให้ได้เร็วที่สุด

2. เปิดบัญชีลงทุนกับ Jitta Wealth => https://link.jittawealth.co/apisilp (สมัครผ่านลิงก์นี้ ได้ส่วนลดค่าธรรมเนียม 100 บาท)

3. เปิดพอร์ต Thematic Optimize ดูรายละเอียด => https://jittawealth.com/thematic/optimize

4. โอนเงินลงทุน 10,000 บาท เข้าไปในพอร์ต นับเดือนนี้เป็นเดือนที่ 1

5. ตั้งค่าฝากเงินอัตโนมัติ (DCA) เดือนละ 2,000 บาท

6. หลังจาก DCA ไปแล้ว 23 เดือน (เดือนที่ 2 ถึงเดือนที่ 24) ช่วงนี้คุณจะมีอายุ 24 ปี น่าจะพอมีรายได้เพิ่มขึ้นแล้ว ให้เพิ่ม DCA เป็นเดือนละ 3,000 บาท

7. ผ่านไปอีก 2 ปี หรือ 24 เดือน ตอนนี้อายุ 26 ปี ให้เพิ่ม DCA เป็นเดือนละ 4,000 บาท

8. ผ่านไปอีก 2 ปี ตอนนี้อายุ 28 ปี ให้เพิ่ม DCA เป็นเดือนละ 5,000 บาท

9. ผ่านไปอีก 2 ปี ตอนนี้อายุ 30 ปี พอร์ตของคุณจะมีมูลค่ามากกว่า 500,000 บาท (คิดจากตัวเลขผลตอบแทนเฉลี่ยย้อนหลังปีละ 12.4% ของ Thematic Optimize)

10. จะหยุด DCA ตอนนี้ก็ได้ เผื่อช่วงนี้มีภาระมากขึ้น ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ มีครอบครัว แต่ห้ามถอนเงินออกจากพอร์ตเด็ดขาด ปล่อยให้มันเติบโตต่อไป

11. สมมุติว่าอายุ 30 ปี พอร์ตมูลค่า 500,000 บาท ไม่ DCA เพิ่มเลย ปล่อยให้มันเติบโตไปอีก 30 ปี ถึงวัยเกษียณพอดี มูลค่าพอร์ตจะกลายเป็น 16.67 ล้านบาท

12. เกษียณแล้ว ไม่มีรายได้ ต้องถอนเงินออกจากพอร์ต ให้ถอนไม่เกินปีละ 12.4% ก็คือ 2 ล้านบาทนิดๆ คิดเป็นต่อเดือนประมาณ 170,000 บาท เงินที่เหลือก็ให้มันทำงานต่อไป ผลิตเงินให้เราปีละ 2 ล้านบาท ไปจนวันตาย

ถึงตอนนั้นเงินเฟ้อจะเป็นยังไง? เดือนละ 170,000 บาท จะพอใช้มั้ย?

สมมุติว่าถ้าปัจจุบันคุณต้องใช้เงินเดือนละ 40,000 บาท เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี (แต่ตอนแก่เราจะบริโภคน้อยลง ใช้เงินน้อยลงนะ) เงินเฟ้อปีละ 3% ผ่านไป 40 ปี 40,000 บาท จะกลายเป็น 130,000 บาท ซึ่งก็ยังน้อยกว่า 170,000 บาท ที่คุณได้จากการลงทุน

แต่ถ้าอยากเผื่อเหลือเผื่อขาดไว้ อยากใช้ชีวิตหรูหรามากขึ้นตอนเกษียณ นั่ง Business Class ไปเที่ยว หรือเตรียมเงินไว้ใช้ตอนเจ็บป่วย ตอนอายุ 30 ปี คุณก็ DCA ต่อไปเรื่อยๆ เดือนละ 5,000 บาท มูลค่าพอร์ตตอนเกษียณจะกลายเป็น 34 ล้านบาท คุณจะมีเงินใช้ปีละ 4.2 ล้านบาท หรือเดือนละ 350,000 บาทครับ

* ผลตอบแทนในอดีต ไม่ได้แปลว่าในอนาคตจะต้องได้เท่าเดิม การลงทุนมีความเสี่ยง บางปีมูลค่าพอร์ตอาจจะติดลบเยอะก็ได้ โพสต์นี้จำลองตัวเลขแบบง่ายๆ เพื่อให้เห็นภาพผลตอบแทนการลงทุนในระยะยาว

==========

มาเสริมอีกหน่อย มีหลายท่านสงสัยว่าผลตอบแทน 12.4% ต่อปี เป็นไปได้จริงหรือ? (การเอ๊ะกับตัวเลขนี้เป็นเรื่องที่ดีมากนะครับ)

ปู่ Warren Buffett ทำผลตอบแทนเฉลี่ยย้อนหลังหลายสิบปี ได้ปีละ 20% ครับ แน่นอนว่าบางปีปู่ก็ขาดทุน แต่บางปีก็กำไรเยอะมาก

Thematic Optimize ลงทุนในเมกะเทรนด์ของโลก ซึ่งเป็นการลงทุนที่เพิ่งมีไม่นาน ทำให้มีตัวเลขผลตอบแทนย้อนหลังแค่ 6 ปี ซึ่งข้อมูลอาจจะยังน้อยเกินไป ในระยะยาว ผลตอบแทนอาจจะน้อยกว่าหรือมากกว่า 12.4% ก็ได้

ขอยกตัวอย่าง VanEck Semiconductor ETF ซึ่งอยู่ในธีมการลงทุนของ Thematic ด้วย โตเป็น 100% ในเวลาแค่ 2 ปี สาเหตุเกิดจาก ETF ตัวนี้ลงทุนในหุ้น NVIDIA ที่ผลิตชิปที่จำเป็นต้องใช้ในงาน AI ในปัจจุบัน ซึ่งราคาหุ้น NVIDIA โตขึ้น 2,700% ในเวลา 5 ปี

https://www.vaneck.com/us/en/i....nvestments/semicondu

12.4% อาจจะดูเวอร์ถ้าไปลงทุนในอุตสาหกรรม Old Economy ที่ถึงจุดอิ่มตัวแล้ว หุ้นกลุ่มนี้โตได้ปีละ 7% ก็ถือว่าเก่งมากๆ แล้ว ขณะที่ Thematic Optimize เน้นลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ที่กำลัง Disrupt อุตสาหกรรมเดิมๆ ซึ่งจะกิน Market Share เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ผมเลยมองว่า 12.4% ไม่ใช่ตัวเลขที่เวอร์ครับ แต่แน่นอนว่าในระยะสั้นมันมีโอกาสติดลบได้ อาจจะติดลบหลายสิบเปอร์เซ็นต์ด้วย การลงทุนที่ดีจึงไม่ใช่เป็นการโยนเงินลงไปก้อนนึงแล้วปล่อย แต่ควร DCA ไปเรื่อยๆ

ผมมีตัวอย่างการลงทุนใน Global ETF ที่มูลค่าพอร์ตขาดทุนนาน 2 ปี ช่วงขาดทุนหนักๆ เป็นเลขเปอร์เซ็นต์สองหลักเลย แต่ผมก็ DCA ไปเรื่อยๆ จนตอนนี้พลิกกลับมาเป็นบวก กำไร 30%+ แล้ว

https://www.facebook.com/macro....art/posts/pfbid02FyP

นอกจากนี้ การลงทุนต้องอาศัยระยะเวลาที่ยาวนานมากพอ ซึ่งจะช่วยลดโอกาสขาดทุนลงเรื่อยๆ (แน่นอนว่าต้องลงทุนให้ถูกที่ด้วยนะ) ลองนึกภาพดูว่าถ้าคุณมีหุ้น Semiconductors, AI, Healthcare, Clean Energy, IoT ซึ่งหุ้นเหล่านี้เป็นเทรนด์ของโลกอนาคตทั้งนั้น แล้วถือยาวๆ 10 ปี มูลค่าหุ้นจะเป็นยังไงในอนาคต?

image