อาจารย์แอนดรูว์ อึ้ง (Andrew Ng)
ในช่วงสามวันที่ผ่านมา ข่าวการมาเยือนไทยของบุคคลระดับโลกด้าน AI ของโปรเฟสเซอร์แอนดรูว์ อึ้ง (Andrew Ng) น่าจะเต็มฟีดของใครหลายคน ประเทศไทยแทบจะไม่เคยมีกูรูด้าน AI หรือเทคระดับโลกมาเยือนเลย มีแต่ข่าวข้ามเราไปเวียดนามหรืออินโดเป็นส่วนใหญ่
โปรเฟสเซอร์แอนดรูว์เป็นตำนานของโลก AI เป็นคนสร้าง google brain มีคอร์สสอนลูกศิษย์ทั่วโลกน่าจะเกือบสิบล้านคน เป็นที่ยอมรับนับถือในวงการเทคโลกเป็นอย่างมาก ล่าสุดก็เพิ่งได้รับเชิญไปเป็นบอร์ดที่ Amazon หนึ่งในบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก การมาเยือนของโปรเฟสเซอร์แอนดรูว์รอบนี้ก็ด้วยฝีมือของทาง KBTG บริษัทเทคโนโลยีของ Kbank และคุณกระทิง พูนผล ประธาน KBTG ทำให้เกิดการตื่นตัวในด้าน AI ได้มาก ในจังหวะหัวเลี้ยวหัวต่อพอดี
ผมโชคดีเป็นอย่างมากที่ทำ HOW Club ที่เป็นคลับวิชาการกับกระทิง ก็เลยได้รับเกียรติจากอาจารย์แอนดรูว์มาพูดคุยแลกเปลี่ยนในช่วงค่ำเมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา ตัวจริงของอาจารย์แอนดรูว์นั้นเรียกเป็นอาจารย์ได้อย่างเต็มปาก เพราะอาจารย์มีความเป็นครูสูงมาก มีความเมตตา สุภาพ อ่อนโยน และอยากให้ความรู้ มุมมองแบบไม่กั๊ก เป็นที่ประทับใจกับผู้ได้พบเจอ คอร์สออนไลน์ก็สอนแบบฟรีๆ
อาจารย์แทบไม่ได้พักจากการบินมาจากอเมริกา ตารางแน่นตลอดสามวัน แถมมีคนขอถ่ายรูปตลอดเวลา อาจารย์ก็ยังยิ้มแย้ม ไม่บ่น ไม่ขอเบรกใดๆ กินง่ายอยู่ง่าย แต่คำพูดและความเห็นนั้นคมคายและลึกซึ้งมากกว่ามิติแค่ AI ไปมาก
ผมเองไม่ได้เข้าใจหรือตามเรื่อง AI ลึกซึ้งแต่ประการใด แต่ชอบฟังเรื่องราวระหว่างบรรทัดของความเป็นมนุษย์ เป็นครูบาอาจารย์ของอาจารย์แอนดรูว์ เลยอยากจะสรุปบางประเด็นที่ชอบและจำได้แม่นจากงาน dinner talk ที่ผ่านมาไว้ดังนี้ครับ
1. ก่อนถึงคิวอาจารย์แอนดรูว์ อาจารย์ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครมากล่าวเปิดให้ ที่ทำให้ผมประทับใจและต้องจำไว้เป็นบทเรียนเลยก็คืออาจารย์ชัชชาติเตรียมตัวมากดีมากๆ แค่กล่าวเปิดอาจารย์ไม่ต้องเตรียมขนาดนี้ก็ได้ อาจารย์ไปอ่านหนังสือของ Kai fu lee เรื่อง AI ที่โด่งดังแล้วไปค้นว่ามีการพูดถึงอาจารย์แอนดรูว์กี่ครั้ง พูดว่าอะไรบ้าง ทำการบ้านมาอย่างดีมากๆ แสดงถึงการให้เกียรติงาน ให้เกียรติวิทยากรและผู้ฟังอย่างน่าชื่นชม
2. ในมุมของอาจารย์แอนดรูว์จะต่างจาก futurist หลายๆคนที่ทำนายว่า AGI (Artificial general Intelligence) หรือการที่ AI จะทำหน้าที่แทนมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์ มีความฉลาด คิด เข้าใจและเรียนรู้เทียบเคียงมนุษย์ได้นั้นจะมาในอีกไม่กี่ปีนี้ อาจารย์แอนดรูว์ยังน่าจะอีกเป็นสิบๆปี
3. อาจารย์แอนดรูว์ตอบคำถามว่าในเมื่อ AI เขียนโค้ดได้แล้ว เราจะยังจำเป็นต้องเรียน coding หรือไม่ อาจารย์บอกว่ายิ่งจำเป็นต้องเรียนและอาจารย์ก็จะให้ลูกเรียนด้วย เพราะถ้า code เป็นก็จะคุยกับ AI ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าคนที่ code ไม่เป็นมาก แค่เรียนรู้พอเขียน code ได้เพียงเบื้องต้นก็จะทำงานได้ดีขึ้นในทุกบทบาทงานของบริษัท แถม AI จะช่วยเป็นเพื่อนทำให้การ coding ง่ายขึ้นเพราะจะช่วยแก้ไขได้เร็ว ไม่ต้องงมโข่งแก้ bug ด้วยตัวเองเป็นชั่วโมงๆอีกต่อไป
4. อาจารย์แอนดรูว์บอกว่า ภาวะผู้นำ (leadership) จำเป็นมากๆในช่วง disruption แบบนี้ว่าจะสามารถนำทีมเข้าสู่การนำ AI มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพได้มากแค่ไหน การที่ผู้นำให้โอกาสกับโครงการที่ใช้ AI เล็กๆที่ยังไม่ได้มีกำไร หรือออกดอกออกผลมาก จะทำให้พนักงานกล้าและสามารถฝึกฝนการใช้ AI ได้ซึ่งจะนำมาซึ่งผลกระทบขนาดใหญ่ในอนาคตได้
5. สิ่งที่แสดงถึงความเมตตาและการมองโลกที่น่าประทับใจเรื่องหนึ่งก็คือ มีคนถามถึงว่าคนที่จะกลายเป็น useless class ควรจะปรับตัวอย่างไร คำว่า useless class นั้นมาจากนิยามของคนที่ถูกทดแทนด้วย AI ในหนังสือ Sapiens โดยโปรเฟสเซอร์ยูวาล ฮารารี่ พออาจารย์แอนดรูว์ได้ยินคำนี้ถึงกับตกใจและไม่คิดว่าเราควรจะจัดชั้นคนแบบนั้น อาจารย์พูดย้ำอยู่หลายทีว่าเป็นคำที่ “Awful” มากๆเพราะเป็นการมองมนุษย์เป็นแค่เครื่องมืออะไรบางอย่าง แสดงถึงวิธีคิดที่เป็นมนุษย์มากๆของเทพ AI อย่างอาจารย์ และทำให้รู้สึกดีว่าถ้าการพัฒนา AI อยู่ในมือคนอย่างอาจารย์ AI ก็ดูจะน่ากลัวน้อยกว่าที่คิดไปมาก
6. อาจารย์แอนดรูว์ตอบคำถามว่า AI จะมาช่วย Climate crisis หรือวิกฤตโลกร้อนได้อย่างไร อาจารย์เล่าถึงโครงการวิทยาศาสตร์ที่กำลังศึกษาอย่างจริงจังว่าอาจจะช่วยบรรเทาโลกร้อนได้ แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ จากข้อมูลที่อาจารย์มี ปีที่ร้อนจัดแบบปีนี้ อาจจะเป็นปีที่เย็นที่สุดของลูกหลานเรานับจากนี้ เพราะโลกจะร้อนทะลุเกณฑ์ที่นักวิทยาศาสตร์ตั้งไว้ว่าถ้าเกิน 2 องศาก็จะหายนะกันทั้งโลก อาจารย์บอกว่าจะทะลุไปเป็น 3-4 องศาเลยด้วยซ้ำ ซึ่งอาจารย์ก็พยายามผลักดันและศึกษากระบวนการแก้ไขอย่างจริงจังร่วมกับนักวิทยาศาสตร์อื่นๆอยู่ด้วยเช่นกัน
ไอเดียที่อาจารย์ศึกษาอย่างจริงจังอยู่ก็คือการพ่น aerosol ไปที่ชั้นบรรยากาศสตราโตสเฟียร์เพื่อสะท้อนแสงอาทิตย์และลดอุณหภูมิโลกได้ 1-2% (Stratospheric Aerosol Injection SAI) ดูจะเป็นไอเดียในนิยายวิทยาศาสตร์แต่ก็น่าจะเป็นเรื่องที่มันสมองระดับโลกเขาคิดและวิจัยกันอย่างจริงจัง อาจารย์มั่นใจว่ารวมๆอุณหภูมิโลกลดลงแน่ แต่ไม่รู้ถึงผลกระทบในแต่ละพื้นที่ว่าจะเป็นอย่างไร และยังเป็นไอเดียที่อาจารย์ทุ่มเทอีกสาขาหนึ่งเพื่อแก้ไขปัญหาของโลก
7. อาจารย์มองว่าแต่ก่อนแต่ไรนั้น ปัญญา (intelligence) นั้นมีราคาแพงมากเป็นไอเท่มที่แพงที่สุดในโลก คนรวยเท่านั้นถึงจะสามารถครอบครองได้ เช่นการเข้าถึงหมอที่เก่งๆ หรือการที่ได้รับการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง คนรวยถึงผูกขาดปัญญาไว้เฉพาะกลุ่ม แต่ AI จะมาทำให้ปัญญา (intelligence) ถูกลง คนทั่วไปจะได้ไม่ต้องล้มละลายเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยหนักๆ หรือสามารถให้คุณภาพการศึกษาที่ดีกับลูกๆได้ในราคาไม่แพง อาจารย์มีความหวังว่าสังคมโดยรวมน่าจะดีขึ้นถ้าคนส่วนใหญ่สามารถเข้าถึงปัญญาในรูปแบบต่างๆในราคาถูกลงผ่านการมาถึงของ AI
8. อาจารย์เล่าว่าตอนที่เริ่มใหม่ๆมีคนช่วยเหลืออาจารย์เยอะมากและไม่สามารถตอบแทน (payback) ได้หมด แต่ก็ตั้งปณิธานว่าจะชดใช้ด้วยการทำเพื่อคนอื่นต่อ (pay it forward) แทน
9. สิ่งที่ทำให้อาจารย์ดูเป็นมนุษย์มากๆและถูกแซวบนเวทีก็คือ อาจารย์ทำงานด้านนี้หนักจนไม่รู้จักน้องลิซ่า blackpink เลย
10. น้องพลอย ลุมทอง สรุปไว้ด้วยความประทับใจว่า ครูที่ดี ต้องทำให้ศิษย์รู้จักมีความหวัง อาจารย์แอนดรูว์ทำให้เราทุกคนรู้สึกว่าประเทศไทยมีหวังและทำให้ทุกคนตื่นเต้นไปกับอนาคตที่จะเกิดขึ้นและอย่าลืมเกื้อกูลซึ่งกันและกัน
สมกับเป็น “ครูของโลก” น้องพลอยว่าไว้แบบนั้น
11. การมาเยือนของอาจารย์แอนดรูว์ นอกจากจะกระตุ้นหลายภาคส่วนให้ตื่นเต้นและมีความหวังกับการมาถึงของ AI ของไทยแล้ว ยังน่าจะทำให้เป็นหมุดหมายแรกที่น่าจะนำพาเทพ AI หรือคนเก่งๆด้านเทคมาเยือนไทยมากขึ้น อันจะนำมาซึ่งองค์ความรู้ โอกาสและการลงทุนได้ในที่สุด
ในส่วนที่ผู้เกี่ยวข้อง ทีมงานของผมทำได้ก็คือพยายามทำให้อาจารย์แอนดรูว์ประทับใจเมืองไทยแบบสุดๆ จะได้ช่วยไปบอกเล่าว่าประเทศไทยยังมีตัวตนในโลกใหม่และน่าลองแวะมาเยี่ยมเยียนกันต่อไป … ซึ่งดูแล้วก็น่าจะประสบความสำเร็จในเรื่องนี้อยู่เช่นกัน
exxiq
ในช่วงสามวันที่ผ่านมา ข่าวการมาเยือนไทยของบุคคลระดับโลกด้าน AI ของโปรเฟสเซอร์แอนดรูว์ อึ้ง (Andrew Ng) น่าจะเต็มฟีดของใครหลายคน ประเทศไทยแทบจะไม่เคยมีกูรูด้าน AI หรือเทคระดับโลกมาเยือนเลย มีแต่ข่าวข้ามเราไปเวียดนามหรืออินโดเป็นส่วนใหญ่
โปรเฟสเซอร์แอนดรูว์เป็นตำนานของโลก AI เป็นคนสร้าง google brain มีคอร์สสอนลูกศิษย์ทั่วโลกน่าจะเกือบสิบล้านคน เป็นที่ยอมรับนับถือในวงการเทคโลกเป็นอย่างมาก ล่าสุดก็เพิ่งได้รับเชิญไปเป็นบอร์ดที่ Amazon หนึ่งในบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก การมาเยือนของโปรเฟสเซอร์แอนดรูว์รอบนี้ก็ด้วยฝีมือของทาง KBTG บริษัทเทคโนโลยีของ Kbank และคุณกระทิง พูนผล ประธาน KBTG ทำให้เกิดการตื่นตัวในด้าน AI ได้มาก ในจังหวะหัวเลี้ยวหัวต่อพอดี
ผมโชคดีเป็นอย่างมากที่ทำ HOW Club ที่เป็นคลับวิชาการกับกระทิง ก็เลยได้รับเกียรติจากอาจารย์แอนดรูว์มาพูดคุยแลกเปลี่ยนในช่วงค่ำเมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา ตัวจริงของอาจารย์แอนดรูว์นั้นเรียกเป็นอาจารย์ได้อย่างเต็มปาก เพราะอาจารย์มีความเป็นครูสูงมาก มีความเมตตา สุภาพ อ่อนโยน และอยากให้ความรู้ มุมมองแบบไม่กั๊ก เป็นที่ประทับใจกับผู้ได้พบเจอ คอร์สออนไลน์ก็สอนแบบฟรีๆ
อาจารย์แทบไม่ได้พักจากการบินมาจากอเมริกา ตารางแน่นตลอดสามวัน แถมมีคนขอถ่ายรูปตลอดเวลา อาจารย์ก็ยังยิ้มแย้ม ไม่บ่น ไม่ขอเบรกใดๆ กินง่ายอยู่ง่าย แต่คำพูดและความเห็นนั้นคมคายและลึกซึ้งมากกว่ามิติแค่ AI ไปมาก
ผมเองไม่ได้เข้าใจหรือตามเรื่อง AI ลึกซึ้งแต่ประการใด แต่ชอบฟังเรื่องราวระหว่างบรรทัดของความเป็นมนุษย์ เป็นครูบาอาจารย์ของอาจารย์แอนดรูว์ เลยอยากจะสรุปบางประเด็นที่ชอบและจำได้แม่นจากงาน dinner talk ที่ผ่านมาไว้ดังนี้ครับ
1. ก่อนถึงคิวอาจารย์แอนดรูว์ อาจารย์ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครมากล่าวเปิดให้ ที่ทำให้ผมประทับใจและต้องจำไว้เป็นบทเรียนเลยก็คืออาจารย์ชัชชาติเตรียมตัวมากดีมากๆ แค่กล่าวเปิดอาจารย์ไม่ต้องเตรียมขนาดนี้ก็ได้ อาจารย์ไปอ่านหนังสือของ Kai fu lee เรื่อง AI ที่โด่งดังแล้วไปค้นว่ามีการพูดถึงอาจารย์แอนดรูว์กี่ครั้ง พูดว่าอะไรบ้าง ทำการบ้านมาอย่างดีมากๆ แสดงถึงการให้เกียรติงาน ให้เกียรติวิทยากรและผู้ฟังอย่างน่าชื่นชม
2. ในมุมของอาจารย์แอนดรูว์จะต่างจาก futurist หลายๆคนที่ทำนายว่า AGI (Artificial general Intelligence) หรือการที่ AI จะทำหน้าที่แทนมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์ มีความฉลาด คิด เข้าใจและเรียนรู้เทียบเคียงมนุษย์ได้นั้นจะมาในอีกไม่กี่ปีนี้ อาจารย์แอนดรูว์ยังน่าจะอีกเป็นสิบๆปี
3. อาจารย์แอนดรูว์ตอบคำถามว่าในเมื่อ AI เขียนโค้ดได้แล้ว เราจะยังจำเป็นต้องเรียน coding หรือไม่ อาจารย์บอกว่ายิ่งจำเป็นต้องเรียนและอาจารย์ก็จะให้ลูกเรียนด้วย เพราะถ้า code เป็นก็จะคุยกับ AI ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าคนที่ code ไม่เป็นมาก แค่เรียนรู้พอเขียน code ได้เพียงเบื้องต้นก็จะทำงานได้ดีขึ้นในทุกบทบาทงานของบริษัท แถม AI จะช่วยเป็นเพื่อนทำให้การ coding ง่ายขึ้นเพราะจะช่วยแก้ไขได้เร็ว ไม่ต้องงมโข่งแก้ bug ด้วยตัวเองเป็นชั่วโมงๆอีกต่อไป
4. อาจารย์แอนดรูว์บอกว่า ภาวะผู้นำ (leadership) จำเป็นมากๆในช่วง disruption แบบนี้ว่าจะสามารถนำทีมเข้าสู่การนำ AI มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพได้มากแค่ไหน การที่ผู้นำให้โอกาสกับโครงการที่ใช้ AI เล็กๆที่ยังไม่ได้มีกำไร หรือออกดอกออกผลมาก จะทำให้พนักงานกล้าและสามารถฝึกฝนการใช้ AI ได้ซึ่งจะนำมาซึ่งผลกระทบขนาดใหญ่ในอนาคตได้
5. สิ่งที่แสดงถึงความเมตตาและการมองโลกที่น่าประทับใจเรื่องหนึ่งก็คือ มีคนถามถึงว่าคนที่จะกลายเป็น useless class ควรจะปรับตัวอย่างไร คำว่า useless class นั้นมาจากนิยามของคนที่ถูกทดแทนด้วย AI ในหนังสือ Sapiens โดยโปรเฟสเซอร์ยูวาล ฮารารี่ พออาจารย์แอนดรูว์ได้ยินคำนี้ถึงกับตกใจและไม่คิดว่าเราควรจะจัดชั้นคนแบบนั้น อาจารย์พูดย้ำอยู่หลายทีว่าเป็นคำที่ “Awful” มากๆเพราะเป็นการมองมนุษย์เป็นแค่เครื่องมืออะไรบางอย่าง แสดงถึงวิธีคิดที่เป็นมนุษย์มากๆของเทพ AI อย่างอาจารย์ และทำให้รู้สึกดีว่าถ้าการพัฒนา AI อยู่ในมือคนอย่างอาจารย์ AI ก็ดูจะน่ากลัวน้อยกว่าที่คิดไปมาก
6. อาจารย์แอนดรูว์ตอบคำถามว่า AI จะมาช่วย Climate crisis หรือวิกฤตโลกร้อนได้อย่างไร อาจารย์เล่าถึงโครงการวิทยาศาสตร์ที่กำลังศึกษาอย่างจริงจังว่าอาจจะช่วยบรรเทาโลกร้อนได้ แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ จากข้อมูลที่อาจารย์มี ปีที่ร้อนจัดแบบปีนี้ อาจจะเป็นปีที่เย็นที่สุดของลูกหลานเรานับจากนี้ เพราะโลกจะร้อนทะลุเกณฑ์ที่นักวิทยาศาสตร์ตั้งไว้ว่าถ้าเกิน 2 องศาก็จะหายนะกันทั้งโลก อาจารย์บอกว่าจะทะลุไปเป็น 3-4 องศาเลยด้วยซ้ำ ซึ่งอาจารย์ก็พยายามผลักดันและศึกษากระบวนการแก้ไขอย่างจริงจังร่วมกับนักวิทยาศาสตร์อื่นๆอยู่ด้วยเช่นกัน
ไอเดียที่อาจารย์ศึกษาอย่างจริงจังอยู่ก็คือการพ่น aerosol ไปที่ชั้นบรรยากาศสตราโตสเฟียร์เพื่อสะท้อนแสงอาทิตย์และลดอุณหภูมิโลกได้ 1-2% (Stratospheric Aerosol Injection SAI) ดูจะเป็นไอเดียในนิยายวิทยาศาสตร์แต่ก็น่าจะเป็นเรื่องที่มันสมองระดับโลกเขาคิดและวิจัยกันอย่างจริงจัง อาจารย์มั่นใจว่ารวมๆอุณหภูมิโลกลดลงแน่ แต่ไม่รู้ถึงผลกระทบในแต่ละพื้นที่ว่าจะเป็นอย่างไร และยังเป็นไอเดียที่อาจารย์ทุ่มเทอีกสาขาหนึ่งเพื่อแก้ไขปัญหาของโลก
7. อาจารย์มองว่าแต่ก่อนแต่ไรนั้น ปัญญา (intelligence) นั้นมีราคาแพงมากเป็นไอเท่มที่แพงที่สุดในโลก คนรวยเท่านั้นถึงจะสามารถครอบครองได้ เช่นการเข้าถึงหมอที่เก่งๆ หรือการที่ได้รับการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง คนรวยถึงผูกขาดปัญญาไว้เฉพาะกลุ่ม แต่ AI จะมาทำให้ปัญญา (intelligence) ถูกลง คนทั่วไปจะได้ไม่ต้องล้มละลายเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยหนักๆ หรือสามารถให้คุณภาพการศึกษาที่ดีกับลูกๆได้ในราคาไม่แพง อาจารย์มีความหวังว่าสังคมโดยรวมน่าจะดีขึ้นถ้าคนส่วนใหญ่สามารถเข้าถึงปัญญาในรูปแบบต่างๆในราคาถูกลงผ่านการมาถึงของ AI
8. อาจารย์เล่าว่าตอนที่เริ่มใหม่ๆมีคนช่วยเหลืออาจารย์เยอะมากและไม่สามารถตอบแทน (payback) ได้หมด แต่ก็ตั้งปณิธานว่าจะชดใช้ด้วยการทำเพื่อคนอื่นต่อ (pay it forward) แทน
9. สิ่งที่ทำให้อาจารย์ดูเป็นมนุษย์มากๆและถูกแซวบนเวทีก็คือ อาจารย์ทำงานด้านนี้หนักจนไม่รู้จักน้องลิซ่า blackpink เลย
10. น้องพลอย ลุมทอง สรุปไว้ด้วยความประทับใจว่า ครูที่ดี ต้องทำให้ศิษย์รู้จักมีความหวัง อาจารย์แอนดรูว์ทำให้เราทุกคนรู้สึกว่าประเทศไทยมีหวังและทำให้ทุกคนตื่นเต้นไปกับอนาคตที่จะเกิดขึ้นและอย่าลืมเกื้อกูลซึ่งกันและกัน
สมกับเป็น “ครูของโลก” น้องพลอยว่าไว้แบบนั้น
11. การมาเยือนของอาจารย์แอนดรูว์ นอกจากจะกระตุ้นหลายภาคส่วนให้ตื่นเต้นและมีความหวังกับการมาถึงของ AI ของไทยแล้ว ยังน่าจะทำให้เป็นหมุดหมายแรกที่น่าจะนำพาเทพ AI หรือคนเก่งๆด้านเทคมาเยือนไทยมากขึ้น อันจะนำมาซึ่งองค์ความรู้ โอกาสและการลงทุนได้ในที่สุด
ในส่วนที่ผู้เกี่ยวข้อง ทีมงานของผมทำได้ก็คือพยายามทำให้อาจารย์แอนดรูว์ประทับใจเมืองไทยแบบสุดๆ จะได้ช่วยไปบอกเล่าว่าประเทศไทยยังมีตัวตนในโลกใหม่และน่าลองแวะมาเยี่ยมเยียนกันต่อไป … ซึ่งดูแล้วก็น่าจะประสบความสำเร็จในเรื่องนี้อยู่เช่นกัน
Delete Comment
Are you sure that you want to delete this comment ?